รับทำเว็บไซต์

ข้อแนะนำการเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์

การเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะมีผลต่อคุณภาพและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ที่คุณต้องการสร้างขึ้นมา ​​​​​​




​​​​​​​นี่คือขั้นตอนและข้อแนะนำในการเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์:

    1. วิเคราะห์ความต้องการของคุณ:
​​​​​​​        กำหนดความต้องการของเว็บไซต์อย่างชัดเจน เช่น ประเภทของเว็บไซต์, ฟีเจอร์ที่ต้องการ, การออกแบบ, การเชื่อมต่อระบบ, และอื่น ๆ

    2. ค้นหาบริษัท:
​​​​​​​        ค้นหาบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในงานที่คุณต้องการ สามารถใช้เครื่องมือการค้นหาออนไลน์หรือขอแนะนำจากคนรู้จัก

​​​​​​​    3. ตรวจสอบผลงาน:
​​​​​​​        ตรวจสอบผลงานที่เคยทำของบริษัท เพื่อเข้าใจว่าคุณสนใจรูปแบบและคุณภาพของงานที่พวกเขาทำ

​​​​​​​​​​​​​​    4. ประเมินความเหมาะสมและสอดคล้อง:
​​​​​​​        ตรวจสอบว่าบริษัทมีความเข้าใจความต้องการของคุณหรือไม่ และว่าพวกเขามีประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์ในสาขาที่คุณต้องการหรือไม่

​​​​​​​​​​​​​​    5. การรับรู้และความรับผิดชอบ:
​​​​​​​        แนะนำให้เลือกบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการรับรู้ความต้องการของคุณ และมีความรับผิดชอบต่อโครงการ

​​​​​​​​​​​​​​    6. การประเมินราคา:
​​​​​​​        ขอใบเสนอราคาจากบริษัทที่สนใจ เพื่อให้คุณสามารถเปรียบเทียบราคาและบริการที่ได้รับ

​​​​​​​​​​​​​​    7. ความรู้และความเชี่ยวชาญ:
​​​​​​​        ตรวจสอบว่าบริษัทมีทีมงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านการออกแบบ, พัฒนา, และการเชื่อมต่อ

  • รูปแบบการสร้างเว็บไซต์มีกี่รูปแบบอะไรบ้าง
  • Web Design, เว็บกึ่งสำเร็จรูป, และเว็บสำเร็จรูป มีข้อแตกต่างกันอย่างไร
  • รูปแบบภาษาที่ใช้พัฒนาเว็บไซต์ ภาษาแบบไหนเหมาะกับเว็บประเภทไหน
  • สรุปการเลือกรูปแบบการทำเว็บไซต์

รูปแบบการสร้างเว็บไซต์มีกี่รูปแบบอะไรบ้าง

รูปแบบเว็บไซต์มีหลากหลายแบบ แต่ที่นิยมมี 3 แบบดังนี้

​​​​​​​On-Premises (On-Premise): 

เว็บไซต์ On-Premises คือการสร้างและดำเนินการเว็บไซต์บนโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรหรือธุรกิจเอง ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลและการดูแลรักษาด้วยทีมงานภายในองค์กร เว็บไซต์จะเป็นการสร้างพื้นฐานที่ตรงตามความต้องการและมีการควบคุมอย่างเต็มที่โดยองค์กรเอง

    ข้อดี:

      •  ควบคุมและความเป็นส่วนตัว: บริษัทควบคุมและดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์และข้อมูลของตนเอง ทำให้มีระดับความปลอดภัยที่สูงกว่าสำหรับข้อมูลสำคัญ

​​​​​​​      •  การปรับแต่ง: สามารถปรับแต่งระบบตามความต้องการของธุรกิจเฉพาะ

​​​​​​​      •  ความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นในการเลือกฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ต้องการ


    ข้อเสีย:

​​​​​​​      •  ค่าใช้จ่ายสูง: ต้องลงทุนในซอฟต์แวร์, ฮาร์ดแวร์, และการบำรุงรักษาโครงสร้างในบริษัทเอง

​​​​​​​      •  ความซับซ้อน: ต้องมีทีมที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการระบบเซิร์ฟเวอร์และการดูแลรักษา

​​​​​​​      •  เวลาในการใช้งาน: การสร้างและดูแลรักษาเว็บไซต์ On-Premises อาจใช้เวลาและทรัพยากรมาก
 

SaaS (Software as a Service):

​​​​​​​เว็บไซต์ SAAS คือรูปแบบการให้บริการที่ตัวแอปพลิเคชันและโครงสร้างภายในถูกโฮสต์และจัดการโดยผู้ให้บริการ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันผ่านเบราว์เซอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

    ข้อดี:

​​​​​​​      •  ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า: ไม่ต้องลงทุนในซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ เสียค่าบริการเป็นรายเดือนหรือรายปี

​​​​​​​      •  ระบบใช้งานได้ทันที: สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันทีหลังจากการลงทะเบียน ไม่ต้องรอการติดตั้ง

​​​​​​​      •  การอัพเดตและการบำรุงรักษา: บริษัทผู้ให้บริการรับผิดชอบในการอัพเดตและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์


ข้อเสีย:

​​​​​​​      •  ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง: บางครั้งมีข้อจำกัดในการปรับแต่งระบบตามความต้องการของธุรกิจ

​​​​​​​      •  ความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลอาจเก็บอยู่ในเครื่องแม่ของผู้ให้บริการ SaaS และยังมีความเกี่ยวข้องกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของบริษัทผู้ให้บริการ
 

ใช้ทีมงานในบริษัททำเว็บไซต์เอง:

    ข้อดี:

​​​​​​​      •  ควบคุมและปรับแต่งได้ตามต้องการ: บริษัทมีความยืดหยุ่นในการสร้างและปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการของตนเอง

​​​​​​​      •  ความเข้าใจทางธุรกิจ: ทีมงานในบริษัทมีความเข้าใจความต้องการและวัตถุประสงค์ของธุรกิจอย่างลึกซึ้ง

​​​​​​​      •  ความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลและข้อมูลลูกค้าคงอยู่ในความควบคุมและปกป้องของบริษัท


    ข้อเสีย:

​​​​​​​      •  ความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง: การสร้างและดูแลรักษาเว็บไซต์ต้องการทีมที่มีความเชี่ยวชาญ มีค่าใช้จ่ายสูง

​​​​​​​​​​​​​​      •  เวลาในการใช้งาน: การสร้างและพัฒนาเว็บไซต์อาจใช้เวลามากและเริ่มต้นได้ช้ากว่า

Web Design, เว็บกึ่งสำเร็จรูป, และเว็บสำเร็จรูป มีข้อแตกต่างกันอย่างไร

1. Web Design (การออกแบบเว็บไซต์):

    ข้อดี:

    •  มีความยืดหยุ่นสูงสุดในการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการของลูกค้า

​​​​​​​    •  สามารถสร้างเว็บไซต์ที่ไม่เหมือนใครและเนื้อหาที่แตกต่างไปตามความต้องการ

​​​​​​​    •  มีความสามารถในการเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพตามต้องการ


    ข้อเสีย:

​​​​​​​    •  มีความซับซ้อนและใช้เวลาในการสร้างเว็บไซต์

​​​​​​​    •  มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเว็บไซต์แบบอื่น ๆ

​​​​​​​    •  การบำรุงรักษาและอัพเดทอาจเป็นภาระที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    
    เหมาะสำหรับ:

​​​​​​​    •  ธุรกิจที่ต้องการเว็บไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร

​​​​​​​    •  ธุรกิจที่มีความต้องการพิเศษและความสามารถในการปรับแต่งสูง



2. เว็บกึ่งสำเร็จรูป (Semi-Custom Website):

    ข้อดี:

​​​​​​​    •  มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งแต่ไม่ซับซ้อนมากเท่าการออกแบบเว็บไซต์จากศูนย์

​​​​​​​    •  มักมีระยะเวลาในการสร้างที่สั้นกว่าเว็บออกแบบเต็มรูปแบบ

​​​​​​​    •  ค่าใช้จ่ายอาจเป็นกลางๆ


    ข้อเสีย:

​​​​​​​    •  ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมีขีดจำกัด

​​​​​​​    •  อาจมีกล่าวหาในการที่เว็บไซต์คล้ายกัน


    เหมาะสำหรับ:

​​​​​​​    •  ธุรกิจที่ต้องการเว็บไซต์ที่สามารถปรับแต่งได้ในบางระดับแต่ไม่ต้องการซับซ้อนมาก

​​​​​​​    •  งบประมาณที่มีขีดจำกัด



3. เว็บสำเร็จรูป (Ready-Made Website):

    ข้อดี:

​​​​​​​    •  สร้างเว็บไซต์ได้รวดเร็วและราคาประหยัด

​​​​​​​    •  มีเทมเพลตและคุณสมบัติพร้อมใช้งานทันที

​​​​​​​    •  ง่ายต่อการบำรุงรักษาและอัพเดท


    ข้อเสีย:

​​​​​​​    •  มีขีดจำกัดในการปรับแต่งและการเปลี่ยนแปลงแต่ละภาพตามความต้องการ

​​​​​​​​​​​​​​    •  อาจมีรูปแบบที่ซ้ำกันในเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้ระบบเดียวกัน


    เหมาะสำหรับ:

​​​​​​​    •  ธุรกิจที่ต้องการเว็บไซต์พื้นฐานและไม่ต้องการปรับแต่งมาก

​​​​​​​​​​​​​​    •  งบประมาณที่จำกัดและต้องการเว็บไซต์ในระยะเวลาสั้น ๆ

รูปแบบภาษาที่ใช้พัฒนาเว็บไซต์ ภาษาแบบไหนเหมาะกับเว็บประเภทไหน

การเลือกภาษาโปรแกรมมิ่งที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับลักษณะและความต้องการของโครงการ เช่น ประเภทของเว็บไซต์ ระบบที่ใช้งาน และทักษะของทีมพัฒนา เหล่าภาษาที่คุณได้กล่าวถึงมีความเหมาะสมในบางประเภทของโครงการดังนี้:

PHP: เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการพัฒนาเว็บไซต์ มีระบบสนับสนุนที่แบ่งกลุ่มและรวมตัวกันอย่างดี มีความยืดหยุ่นและรองรับฐานข้อมูลได้หลากหลาย เหมาะสำหรับการพัฒนาทุกประเภทของเว็บไซต์

    • เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไปและโครงการขนาดเล็กถึงกลาง

    • มีชุดคำสั่งและเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาอย่างแพร่หลายสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์

    • มีระบบจัดการฐานข้อมูล MySQL ที่แข็งแกร่ง


ASP.NET: เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้งานกับฐานข้อมูล Microsoft SQL Server หรือระบบ Microsoft อื่น ๆ มีความยืดหยุ่นในการพัฒนาแต่มีการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม Microsoft

    • เหมาะสำหรับธุรกิจและแอปพลิเคชันในองค์กร

    • ตัวเลือกที่ดีสำหรับโปรเจ็คที่มีความซับซ้อนและความปลอดภัยสูง

    • ใช้ภาษา C# และระบบฐานข้อมูล Microsoft SQL Server


Node.js: เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ที่ต้องการประมวลผลแบบ real-time และการสื่อสารแบบแม่เหล็ก สามารถใช้กับเว็บแอปพลิเคชันที่มีการอัปเดตข้อมูลแบบต่อเนื่องได้ดี

    • มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการการประมวลผลแบบ real-time หรือแบบอีเวนต์-ดริฟท์

​​​​​​​    • มีความยืดหยุ่นในการใช้ภาษา JavaScript ทั้งส่วนของเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์


TypeScript: เป็นเวอร์ชันพัฒนาของ JavaScript ที่เพิ่มความเข้มแข็งในเรื่องของประเภทข้อมูล ช่วยลดความผิดพลาดในระหว่างการพัฒนา เหมาะสำหรับโครงการที่มีขนาดใหญ่และต้องการการบำรุงรักษาที่ดี

​​​​​​​    • เหมาะสำหรับโปรเจ็คที่ต้องการความปลอดภัยและรหัสที่มีความชัดเจน

​​​​​​​    • สามารถใช้ร่วมกับ Node.js หรือ Angular เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบ single-page (SPA)


Python: เหมาะสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ที่ต้องการการวิเคราะห์ข้อมูล และการทำงานกับข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้งาน AI หรือ Machine Learning

​​​​​​​    • ใช้สำหรับเว็บไซต์ทั่วไปและโปรเจ็คที่ต้องการการพัฒนาที่รวดเร็ว

​​​​​​​    • เหมาะสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันเชิงวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) หรือเทคโนโลยีเกี่ยวกับ AI


หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเลือกภาษาใด ควรพิจารณาความต้องการและขอบเขตของโครงการ รวมถึงความเชี่ยวชาญของทีมพัฒนาที่มีอยู่ในภาษาโปรแกรมมิ่งดังกล่าว การพิจารณาเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจในการเลือกภาษาที่เหมาะสมสำหรับโครงการของคุณ

สรุปการเลือกรูปแบบการทำเว็บไซต์

​​​​​​​เมื่อต้องการเลือกรูปแบบทำเว็บไซต์ควรพิจารณาลักษณะของเว็บไซต์, ความชำนาญของทีมพัฒนา, ความยืดหยุ่นและความเร็ว, ระบบฐานข้อมูล, ความปลอดภัย, ความสามารถในการเรียนรู้, ข้อกำหนดงบประมาณ, และการสนับสนุนการใช้งาน เพื่อเลือกรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพและปราศจากปัญหาในอนาคต